ขายตรงยุคไฮเทค รูปแบบใหม่ในการหาดาวไลน์

เมื่อพูดถึง passive income สิ่งแรกที่จะนึกถึงคือธุรกิจแบบขายตรง ซึ่งเป็นลักษณะการค้าขายในอีกรูปแบบหนึ่ง โดยให้ความสำคัญกับสินค้าเป็นอันดับรอง และพยายามที่จะหาคนชอบในสินค้าเพื่อมาเป็นสมาชิก ช่วยขายสินค้าแบบเดียวกับเรา หลังจากนั้นก็รับส่วนแบ่งจากส่วนที่สมาชิกคนนั้นขายได้

สมาชิกคนนั้นก็จะไปหาสมาชิกมาเพิ่มเรื่อย ๆ เพื่อทำแบบเดียวกันกับเรา ทำต่อกันไปแบบนี้เป็นทอด ๆ เรียกว่าการหาดาวไลน์ ในแต่ละขั้นนั้นก็จะมีตำแหน่งที่เรียกกันในบริษัท เพื่อบงบอกว่าคนนี้อยู่ในระดับไหน จำเป็นต้องสั่งสินค้าจำนวนเท่าไหร่ เพื่อรักษาตำแหน่งเอาไว้ จนถึงวันที่เรามีสมาชิกหรือดาวไลน์ที่เราได้มามากมาย ก็สามารถหยุดการขายได้แล้ว เพราะรายได้หลักของเราคือการรับเงินส่วนแบ่งที่ดาวไลน์ของเราทำได้ ถามว่ามันเป็นธุรกิจที่ผิดกฎหมายหรือเปล่า มันไม่ใช่ธุรกิจที่ผิดกฎหมายสะทีเดียว แต่เป็นธุรกิจที่ไม่ค่อยจะมีใครชอบสักเท่าไหร่ เนื่องจากลักษณะการหว่านล้อม หรือคำพูดที่ขอร้องเชิงบังคับของผู้ขาย ที่ขายทั้งสินค้าและโน้มน้าวให้มาเป็นสมาชิกเพื่อให้มาช่วยกันขาย

ในการโน้มน้าวให้น่าสนใจนั้น จำเป็นต้องมีการนำสิ่งของมีค่าต่าง ๆ มาเป็นตัวจูงใจ เพื่อให้มีความสนใจที่จะมาช่วยขายของ ไม่ว่าจะเป็นรถหรูยี่ห้อแพง ๆ บ้านหลังละ 20-30 ล้าน ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถหามาได้ไม่เกิน 2 ปีเท่านั้น จึงไม่แปลกที่ใคร ๆ ฟังแล้วจะสนใจ

ระวัง งานออนไลน์ง่าย ๆ ที่ความจริงคืองานขายตรง

เนื่องจากเริ่มไม่มีใครสนใจที่จะเข้ามาเป็นสมาชิกหรือดาวไลน์ในบริษัทของตรงแล้วในยุคนี้ และเลือกที่จะไม่รับฟังข้อเสนอหรือการหว่านล้อมใด ๆ จากคนที่กำลังต้องการหาดาวไลน์ จึงทำให้เกิดรูปแบบใหม่ของการหาดาวไลน์ในธุรกิจขายตรง โดยใช้เทคโนโลยีเข้าช่วย ซึ่งอยู่ในรูปของงานออนไลน์ง่าย ๆ ที่ได้เงินใช้เดือนละ 15,000-20,000 แบบสบาย ๆ ทำงานที่ไหนก็ได้ ไม่มีเวลาเข้าออกงาน แค่ในตอบแชทเฟสบุ๊ค หรือไลน์ให้กับบริษัทที่ขายสินค้าต่าง ๆ พวกเราอาจจะเคยเห็นและคุ้นเคยกันกับคำพูดหรือข้อความที่ถูกส่งเข้ามาใน inbox ของเรา คุณมีเวลาว่าง 2-3 ชั่วโมงต่อวันไหม เล่นคอมพิวเตอร์เป็นเวลากี่ชั่วโมงต่อวัน เรามีงานดี ๆ ได้เงินง่ายมานำเสนอ

แน่นอนว่าแรก ๆ หลายคนตื่นตาตื่นใจ กับการทำงานที่ทำที่ไหนก็ได้ ใช้เวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมงและรับผลตอบแทนที่เท่ากับพนักงานเงินเดือน แต่ความจริงแล้ว มันเป็นแค่หน้ากากที่สวยหรูของการที่จะนำทุกคนเข้าสู่วงการขายตรงอีกครั้งแบบไม่รู้ตัว

หลายต่อหลายคนได้มีการลองทำตาม inbox หลอกล่อที่ส่งเข้ามาพวกนี้ และหวังจะได้มีงานที่สบายและมั่นคง แต่สิ่งที่พวกเขาเจอ และนำมาบอกต่อมากมายในโลกโซเชียล คือการโดนหลอกไปขายตรง โดยเริ่มต้นที่การเก็บเงินค้าเข้าฟังเพียง 2-300 บาท เป็นค่ายืนยัน หรือค่าสมัคร แต่ความจริงกลับโดนหลอกให้ไปฟังใครก็ไม่รู้ ขึ้นมากล่าวเกี่ยวกับการขายตรงที่ทำให้พวกเขามีบ้านมีรถหรู ๆ ได้แบบนี้ เพื่อโน้มน้าวเราให้สนใจและเริ่มที่จะมาเป็นดาวไลน์ให้กับเขา ซึ่งนับกันจริง ๆ แล้วถือว่าเข้าข่ายหลอกลวงกันเลยทีเดียว

ยังคงมีอีกหลายคนที่โดนหลอกในลักษณะนี้ เพราะยังไม่มีประสบการณ์และไม่รู้ว่าโซเชียลหรือเทคโนโลยีที่เขาใช้อยู่นั้น สามารถใช้เป็นช่องทางในการนำไปสู่การขายตรงได้ ซึ่งเป็นธุรกิจที่อาจจะใช้ได้ผลเมื่อ 10-20 ปีที่แล้ว แต่ไม่ใช่ในตอนนี้ จงตั้งสติ ไตร่ตรองให้ดี ใช้มันนำทางไม่ให้ตกเป็นทาสผ่านเทคโนโลยีของคนเหล่านี้

Category: ธุรกิจ

Tag: ธุรกิจขายตรง, สื่อออนไลน์, ทำงานผ่านอินเตอร์เน็ต

เครดิตภาพ: https://www.gotoknow.org/posts/630916

E-commerce ในยุคนี้ จะปังหรือจะพัง!!!

                ในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามีผลในเรื่องของการค้าขาย ทุกคนต่างก็ซื้อของออนไลน์ด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า กระเป๋า เครื่องประดับ รวมไปถึงอาหารการกินด้วย นอกจากจะทำให้การซื้อของของคนในยุคนี้สะดวกสบายแล้ว ยังเป็นการประหยัดเวลาในการไปห้างสรรพสินค้าหรือร้านค้าเพื่อซื้อของต่าง ๆ พูดได้ว่าการค้าขายของในยุคนี้เกือบเข้าสู่การค้าขายแบบออนไลน์โดยสมบูรณ์

หลายคนใช้จังหวะนี้ในการลงทุนทำธุรกิจแบบ E-commerce หรือเรียกง่าย ๆ ว่าการค้าขายออนไลน์ ซึ่งไม่มีค่าใช้จ่ายในการเช่าสถานที่ และยังไม่จำเป็นต้องสั่งของมาตุนไว้ รอสั่งแค่สินค้าที่ลูกค้าต้องการ และทำการจัดส่งให้แค่นั้น โดยเลือกใช้ช่องทาง Market place ที่มีบริษัท E-commerce ยักษ์ใหญ่เกิดขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Shopee Lazada หรือ Alibaba ซึ่งสามยักษ์ใหญ่นี้เปิดให้ผู้ขายลงชายสินค้าได้ฟรีแทบทุกประเภท โดยเสียค่าธรรมเนียมเป็นคอมมิชชั่นเล็กน้อย

ห้างสรรพสินค้ากับการปรับตัวเองเพื่อให้อยู่รอด

แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะบอกว่ามีหนทางที่ จะเอาชนะบริษัทที่เป็นเลิศด้าน E-commerce ในยุคนี้ลงได้ เพราะทุกประเภท ประสินค้า ได้ถูกครอบคลุมไปเป็นที่เรียบร้อยไม่ต่างกับห้างสรรพสินค้า การที่หวังจะทำตามและประสบความเสร็จแบบนั้น เป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไม่ได้ แต่ความจริงแล้วยังพอจะมีหนทางที่จะสามารถดีดตัวขึ้นมา ที่จะสู้กับบริษัทพวกนี้ได้ คือการนำเสนอสิ่งใหม่ ๆ ต่อผู้บริโภค และปรับให้ตัวเองเข้าไปอยู่ในวงจร Market place มีห้างสรรพสินค้าหลายแห่ง ปรับตัวเองเข้าเป็นพาร์ทเนอร์กับเหล่า Market place ชื่อดัง โดยเข้าเป็น Official Shop ที่ขายสินค้าของตัวแบบเดียวกับที่สาขา ตั้งเงื่อนไขทุกอย่างเหมือนกับการซื้อแบบออฟไลน์ ทั้งระบบสมาชิก สะสมแต้ม โปรโมชั่น และจัดส่งสินค้าให้ฟรีถึงบ้าน เราไปถึงยังเปิดเว็บไซต์ของตัวเอง ทำให้กลายเป็นห้างสรรพสินค้าออนไลน์อีกด้วย นับว่าเป็นการเอาตัวรอดจากวิกฤตการค้า และยังได้รับประโยชน์ไปเต็ม ๆ เพราะได้พื้นที่การขายเพิ่มขึ้น โดยไม่ต้องลงทุนสร้างสาขาจริง ๆ

หากพ่อค้าแม่ค้าทั่วไป นำโมเดลของห้างสรรพสินค้าเหล่านี้ไปศึกษา และปรับเข้ากับธุรกิจของตัวเอง สามารถการันตียอดขายได้แน่นอน บน Market place ยังมีคำแนะนำ ทริก ความช่วยเหลือแบบครบวงจร ที่เปิดให้ผู้ค้าทุกคนเข้าไปใช้งานได้ ยังมีฟังก์ชันแนะนำร้านค้าใหม่ สินค้าขายดี มีแคมเปญโปรโมชั่นมากมาย ที่พร้อมซับพอร์ทร้านค้า กระตุ้นยอดขายได้ดีขึ้น ยังมีช่องทางการรีวิวจากผู้ซื้อ การให้คะแนนร้านค้า เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและควบคุมคุณภาพของผู้ค้า แบบนี้หากร้านคุณทำได้เกินมาตราฐานก็ย่อยได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าแน่นอน แถมยังไม่มีเงื่อนไขซับซ้อนแบบการนำสินค้าไปวางขายในห้างอีกด้วย นับว่าช่องทางของ Market place online เป็นช่องทางที่คุ้มค่าที่จะเรียนรู้แน่นอน

Category: ธุรกิจ

Tag:  E-commerce, การค้าขาย, สินค้า

เครดิตภาพ: https://www.marketingoops.com/news/biz-news/cloudcommerce-ecommerce-thai-platform/

eCRM มิติใหม่ สำหรับการดูแลลูกค้าในวงการธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์

หนึ่งปัจจัยหลักที่สำคัญมากที่สุดในการขับเคลื่อนธุรกิจให้มีพลัง ก้าวหน้า หรือยั่งยืน นั่นคือลูกค้า การจะทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จนั้น จำเป็นต้องมีลูกค้าที่คอยสนับสนุนสินค้าหรือบริการ ซึ่งถ้าไม่มีลูกค้า ธุรกิจก็จะเคลื่อนไปข้างหน้าไม่ได้ และอาจจะต้องพับเสื่อไปในที่สุด นี่เป็นสิ่งที่ทุกคนรู้กันอยู่แล้วในเรื่องของการทำธุรกิจ

ลูกค้าคือพระเจ้า ในมุมของธุรกิจนั้นถือเป็นเรื่องจริง ทุกธุรกิจจำเป็นที่จะต้องให้ความสำคัญกับลูกค้าก่อนเสมอ ต้องคอยอำนวยความสะดวกเพื่อสร้างความประทับใจและให้ลูกค้ามาซื้อสินค้าหรือบริการของเราอีกครั้ง รวมไปถึงการทำให้ลูกค้ารู้สึกชอบ จนนำไปบอกคนอื่นให้มาเป็นลูกค้ารายใหม่ของเรา ซึ่งระบบเหล่านี้เราเรียกว่าสั้น ๆ ว่า CRM ย่อยมาจาก Customer relationship management หรือแปลเป็นไทยว่า ระบบการบริหารลูกค้าสัมพันธ์

CRM นั้นเกิดขึ้นมาพร้อม ๆ กับการทำธุรกิจ ไม่ใช่เรื่องที่ใหม่อะไร ทุกธุรกิจจึงจำเป็นต้องออกแบบและใช้งานระบบนี้ให้ดีที่สุด เพื่อหาลูกค้าเข้ามาซื้อสินค้าและบริการของตนเอง รวมถึงการรักษาลูกค้าเดิมที่มีอยู่ไว้ และเพิ่มจำนวนลูกค้าใหม่จากคำบอกเล่าของลูกค้าเก่า ในยุคที่มีเทคโนโลยีเข้ามาเป็นส่วนสำคัญ CRM ก็ถูกพัฒนารวมกับการใช้สื่อและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ จนออกมาเป็น eCRM หรือ electronic Customer Relationship Management หรือ ระบบการบริหารลูกค้าสัมพันธ์แบบอิเล็กทรอนิกส์

eCRM ระบบที่โดนใจทั้งลูกค้าและคนขาย

                eCRM เป็นระบบที่ให้ความสำคัญกับลูกค้าเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นการดูแลตั้งแต่ก่อนการซื้อขาย และหลังการซื้อขาย ซึ่งกระบวนการของ eCRM นั้นจะเริ่มจากทางบริษัทจะทำการหา target customer หรือลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย เมื่อได้แล้ว ก็ต้องทำให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของเราซื้อสินค้าหรือบริการเราให้ได้ จากนั้นทำการติดตามผลหลังการขาย โดยเป็นการทำให้ลูกค้ารู้สึกมีค่าและประทับใจการบริการของเรา เพื่อทำให้ลูกค้าเหล่านี้กลายเป็น customer loyalty หรือเรียกว่าลูกค้าผู้ซื่อสัตย์ หมายถึงการที่ลูกค้านึกถึงสินค้าหรือบริการประเภทธุรกิจของเรา ลูกค้าจะนึกถึงเราเป็นชื่อแรก และไม่ยอมที่จะเปลี่ยนไปลองใช้สินค้าหรือบริการต่าง ๆ จากบริษัทอื่น และสุดท้ายคือการที่ลูกค้าเราจะไปบอกต่อให้กับคนอื่น ๆ เป็นแนวทางที่ขยายฐานลูกค้าของเราโดยไม่ต้องใช้งบพีอาร์ซ้ำ

การใช้ eCRM ในวงการธุรกิจ

                CRM ที่เราเคยใช้อยู่สมัยก่อนจะมีหลายลักษณะ ไม่ว่าจะเป็นการใช้แผ่นใบปลิวหรือโบรชัวร์ในการประชาสัมพันธ์ การโทรถามคนสนใจของลูกค้า การส่งจดหมาย หรือการโฆษณาผ่านสื่อโทรทัศน์ แต่ในยุค eCRM จะกลายเป็นอิเล็กทรอนิกส์ เช่น การส่งอีเมล์ การบอร์ดแชทหาลูกค้า หรือแม้กระทั่งการเก็บข้อมูลเพื่อใช้ในการหากลุ่มลูกค้า ก็มีซอฟท์แวร์ที่เป็นตัวเก็บข้อมูลของลูกค้า และสามารถประมวลผลและวิเคราะห์ข้อมูลออกมาได้อีกด้วย ถือได้ว่าเป็นวิธีที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากกว่า CRM แบบเดิม

การที่ CRM มีการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยนั้น ไม่ได้มีแค่การเปลี่ยนแปลงช่องทางในการเข้าถึงและติดต่อกับลูกค้าเพียงอย่างเดียว แต่มันรวมไปถึงการพัฒนาโปรแกรมที่สามารถสร้างระบบ eCRM ขึ้นมาใช้งานได้จริง จึงมีบริษัทที่ผลิตซอฟท์แวร์ eCRM เพื่อช่วยในการเก็บข้อมูลของลูกค้า นำมาวิเคราะห์และหาความสัมพันธ์ หาลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย รวมไปถึงระบบที่ช่วยดูแลรักษาลูกค้าเก่าและดึงดูดลูกค้าใหม่ให้มาเป็น customer loyalty ของบริษัท ซึ่งถือได้ว่าบริษัทที่มีซอฟท์แวร์ eCRM นั้นจะได้เปรียบเต็ม ๆ บริษัทจะสามารถปรับเปลี่ยนแผนการหรือกลยุทธ์ ให้เหมาะกับความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ถือว่าเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ทางเลือกธุรกิจแบบใหม่ ที่น่าจับตามองในตอนนี้ เพราะระบบนี้จำเป็นกับทุกบริษัทที่มีความเกี่ยวกับลูกค้า

 

Big Data นั้นสำคัญไฉน กับธุรกิจของคุณในยุค 4.0

โลกใบนี้ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล ยิ่งเทคโนโลยีสมัยนี้ทำให้ผู้คนสามารถเข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ และนำมาประยุกต์ใช้ หรือประกอบการตัดสินใจได้ง่ายยิ่งขึ้น หากข้อมูลเหล่านั้นถูกนำมาวิเคราะห์ กลั่นกรอง เรียบเรียง ด้วยเครื่องมือที่เหมาะสม จะทำให้การประมวลผลข้อมูลเหล่านั้นเป็นไปอย่างมีระเบียบ มี pattern ในการสร้างความสัมพันธ์เชิงลึกของข้อมูล เพื่อความเข้าใจในรูปแบบพฤติกรรมของผู้บริโภคที่มีความซับซ้อนมากขึ้นได้

ข้อมูลยิ่งมาก ยิ่งทำให้ผลการวิเคราะห์แม่นยำยิ่งขึ้น ข้อมูลมาก ๆ นี่เองที่ถูกเรียกว่า Big Data โดย Big Data นี้เป็นข้อมูลดิบ อาทิ ข้อความในโซเชียลมีเดีย ข้อมูลพฤติกรรมการเข้าชมสินค้า ข้อมูลการให้คะแนนความพีงพอใจ ข้อความเสียง ภาพถ่าย และวีดีโอต่าง ๆ และอื่น ๆ อีกมากมาย

การประกอบธุรกิจต่าง ๆ นั้น หากนำ Big Data มาใช้ในการวิเคราะห์ความต้องการและพฤติกรรมการซื้อสินค้าของผู้บริโภค ทำความเข้าใจสภาพตลาด จะทำให้การวางแผนกลยุทธ์ได้ถูกต้องเหมาะสมแก่ผู้บริโภค สามารถสร้างลูกเล่นในด้านของราคาสินค้าให้เหมาะสม และการจัดกลุ่มสินค้าที่ขายด้วยกันได้อย่างลงตัว (cross sell)  สามารถวิเคราะห์มองหาโอกาส และความเป็นไปได้ต่าง ๆ ทั้งยังนำมาเป็นตัวช่วยในการกำหนดทิศทางขององค์กรได้อย่างทันท่วงที นำเสนอโปรโมชั่นและปรับปรุงบริการให้โดนใจ และตอบโจทย์ผู้บริโภคอย่างแท้จริง ยิ่งไปกว่านั้น กรณีที่ลูกค้าไม่พอใจในสินค้าและ/หรือ บริการ ข้อมูลที่เป็นแบบแผนสามารถวิเคราะห์หาเหตุผลได้ว่า อะไรที่เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ลูกค้ามีความรู้สึกด้านลบ เพื่อปรับแก้อย่างตรงประเด็น และสานความสัมพันธ์กับลูกค้าในระยะยาวได้ เป็นที่แน่นอนว่า จะส่งผลให้ยอดขายเพิ่ม กำไรพอกพูน และธุรกิจเจริญเติบโตอย่างก้าวกระโดด

วิธีการนำ Big Data ไปใช้

  1. ต้องเริ่มจากการตั้งโจทย์ ว่ามองหาอะไรในธุรกิจ หรือต้องการนำผลจากข้อมูลเหล่านี้เพื่อเอาชนะปัญหาหรืออุปสรรคใดในธุรกิจที่เป็นอยู่
  2. เมื่อเห็นโจทย์แล้ว ก็จะนำไปสู่การหาแหล่งข้อมูลที่จะนำมาวิเคราะห์ เช่น ปริมาณผู้เข้าชมเว็บไซต์ แหล่งที่มาของผู้เข้าชม ยอดการสั่งซื้อสินค้า ช่วงเวลาของการสั่งซื้อสินค้า ข้อมูล Transaction การทำธุรกรรมต่าง ๆ ของลูกค้าที่จะเป็นข้อมูลรายละเอียดจำนวนผู้มีปฏิสัมพันธ์กับธุรกิจนั้น ๆ จาก social media เช่น ยอด like, ยอด share เป็นต้น
  3. จากนั้นก็ถึงเวลาใช้ Big Data เหล่านั้น โดยเครื่องมือที่ใช้ในการนำมาวิเคราะห์ Big Data อันได้แก่ Hadoop, MapReduce, Hive, NoSQL, Apache Spark และอื่น ๆ ในด้านบุคลากร ควรมีความรู้ ความสามารถและทักษะเกี่ยวกับการทำคลังข้อมูล (Data Warehouse), Data Mining, Data Science, ระบบธุรกิจอัจฉริยะ (Business Intelligence) รวมถึงความเข้าใจใน Machine Learning

อย่างไรก็ตาม การนำ Big Data มาใช้งานนั้น ยังต้องเผชิญกับความท้าทายในด้านของต้นทุนการดำเนินงาน การจัดระเบียบข้อมูลจำนวนมาก การคำนึงถึงความเป็นส่วนตัวของข้อมูล (Data Privacy) ขีดจำกัดด้านความรู้ความสามารถของทรัพยากรบุคคลในสาขานี้โดยเฉพาะอีกด้วย